โรคภูมิแพ้คือ 1 ในโรคที่ไม่ค่อยจะรุนแรงจนถึงแก่ชีวิตแม้จะมีบ้างสำหรับผู้ที่มีอาการแพ้อย่างรุนแรงต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งมากกว่าคนทั่วไป แต่กระนั้นโรคนี้ก็แทบจะไม่ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกอะไรมากนักนอกจากสร้างความรำคาญให้กับผู้ป่วยเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นรบกวนการเรียน การทำงานรวมไปถึงการใช้ชีวิตประจำวันครับ โรคภูมิแพ้คืออะไรและจำมีวิธีการจัดการรับมืออย่างไร บทความนี้เราจะมาช่วยกันหาคำตอบครับ
โรคภูมิแพ้คืออะไร แล้วทำไมเราถึงต้องมีอาการแพ้ต่อสิ่งต่าง ๆ อย่างน่ารำคาญ
โรคภูมิแพ้คือโรคที่มีความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายครับ ทำให้ร่างกายมีความไวต่อสารที่ก่อให้เกิดภูมิแพ้มากกว่าปกติ ร่างกายจะตอบสนองต่อสารก่อโรคภูมิแพ้หรือสารระคายเคืองไม่เหมือนกันในแต่ละรายเช่นบางคนอาจมีผื่นคันขึ้นตามผิวหนังเช่น เป็นลมพิษ หรือผื่นแพ้ชนิดต่าง ๆ บางรายอาจมีปฏิกิริยาทางระบบทางเดินหายใจเช่นคัดจมูก น้ำมูกไหล มีอาการจาม หรือมีอาการแน่นหน้าอก ไอ หายใจมีเสียงหวีดก็ได้ครับ ซึ่งอาการที่ปรากฏและความรุนแรงจะขึ้นอยู่กับความไวต่อการตอบสนองต่อสิ่งกระตุ้นภูมิแพ้นั้น
รวมถึงระยะเวลาที่มีอาการก็ไม่เท่ากันในแต่ละคนครับ ในบางกรณีเราอาจพบว่าผู้ป่วยไม่เคยมีประวัติแพ้ต่อสิ่งกระตุ้นภูมิแพ้ชนิดนี้มาก่อนแต่จู่ ๆ ก็กลับแพ้ต่อสารนั้นได้ครับ นอกจากนี้ยังรวมไปถึงในกรณีที่อายุมากขึ้นก็อาจแพ้ต่อสารเคมีบางชนิดเช่นน้ำยาหรือผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่ตนไม่เคยแพ้มาก่อนได้เช่นกันครับ แม้ว่าภูมิแพ้จะไม่สร้างอันตรายถึงแก่ชีวิตนอกจากผู้ที่มีอาการแพ้รุนแรงอย่างที่กล่าวไว้ดังข้างต้นก็ตาม
แต่กระนั้นหากไม่ได้รับการรักษาหรือปล่อยให้อาการภูมิแพ้ของตนเกิดขึ้นเป็นระยะเวลานานก็อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนตามมาได้เช่นกันไม่ว่าจะเป็นไซนัสอักเสบ ริดสีดวงจมูก ผิวหนังติดเชื้อ คออักเสบ ไอเรื้อรัง ปวดหูหรือหูอื้อเป็นต้น ภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นเหล่านี้จะยิ่งสร้างความทุกข์ทรมานให้กับผู้ป่วยโรคภูมิแพ้มากยิ่งขึ้น
โรคภูมิแพ้เกิดจากอะไร
แม้จะไม่ใช่โรคติดต่อที่ร้ายแรงแต่โรคภูมิแพ้มีปัจจัยที่ก่อโรคภูมิแพ้ 2 อย่างดังนี้
1. กรรมพันธุ์
โรคภูมิแพ้เป็นโรคที่สามารถถ่ายทอดได้ทางกรรมพันธุ์ครับ หากมีคนในครอบครัวมีประวัติเป็นโรคภูมิแพ้ก็มีโอกาสมากครับที่เราจะพบบุคคลอื่นในครอบครัวที่จะเป็นโรคภูมิแพ้ได้เช่นกัน ในกรณีนี้หากพบว่าพ่อหรือแม่มีประวัติเป็นโรคภูมิแพ้เพียงคนใดคนหนึ่ง ลูกที่เกิดมาก็มีโอกาสที่จะป่วยเป็นโรคภูมิแพ้ได้ประมาณ 30% ครับ แต่ในกรณีที่ทั้งพ่อและแม่มีประวัติว่าตนเองเป็นโรคภูมิแพ้ทั้งคู่ ลูกที่เกิดมาก็มีโอกาสเสี่ยงที่จะเป็นโรคภูมิแพ้ได้มากถึง 60-70 % เลยทีเดียว ดังนั้นกรรมพันธุ์จึงเป็นปัจจัยหลักเรื่องหนึ่งครับที่จะบอกว่าคุณมีโอกาสที่จะเป็นภูมิแพ้ได้มากน้อยเพียงใด
2. สิ่งแวดล้อม
สิ่งแวดล้อมก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่จะทำให้เราเกิดโรคภูมิแพ้ครับ เพราะสารก่อภูมิแพ้แทบทุกชนิดล้วนมาจากสภาวะแวดล้อมภายนอกแทบทั่งสิ้น ซึ่งเราสามารถรับเอกสารก่อภูมิแพ้ต่าง ๆ จากสิ่งแวดล้อมภายนอกเข้าสู่ร่างกายได้หลายทางมากครับไม่ว่าจะเป็นการสูดดมจากการหายใจ การรับประทานสิ่งที่เราแพ้เข้าทางปากและยังรวมไปถึงการสัมผัสสารเคมีหรือสารก่อภูมิแพ้โดยตรงผ่านทางผิวหนังครับ สำหรับสารก่อภูมิแพ้ที่เราพบบ่อย ๆ ในประเทศไทยได้แก่ ไรฝุ่น ละอองเกสรดอกไม้ รวมไปถึงอาหารบางชนิดเช่นนมวัว ถั่ว อาหารทะเลครับ และในผู้สูงอายุเราอาจพบการแพ้ต่อน้ำยาทำความสะอาดบางชนิดได้เช่นกัน นอกจากนี้เราอาจพบปัจจัยอื่นที่ส่งเสริมอาการของโรคภูมิแพ้ได้ครับ เช่นสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างฉับพลันก็สามารถไปกระตุ้นให้อาการภูมิแพ้กำเริบขึ้นมาได้
การรักษาโรคภูมิแพ้
การรักษาโรคภูมิแพ้มีแนวทางในการรักษา 2 แนวทางดังนี้
1. การรักษาทางการแพทย์แผนปัจจุบัน
ก่อนการรักษาแพทย์จะแนะนำให้ผู้ป่วยทดสอบภูมิแพ้ของตนเสียก่อนครับว่าคุณแพ้ต่อสิ่งใดบ้าง โดยการใช้น้ำยาทดสอบภูมิแพ้ซึ่งจะทำให้เราทราบว่าเรามีอาการแพ้ต่อสิ่งใดบ้างเพื่อการวางแผนในการรักษาต่อไป เมื่อเรารู้ว่าเราแพ้ต่อสิ่งใดแพทย์จะมีแนวทางในการรักษาดังนี้
-หลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้และสารระคายเคือง วิธีการนี้คือวิธีการรักษาที่ดีที่สุดในการจัดการกับ ปัญหาโรคภูมิแพ้ซึ่งเราจะทำเช่นนี้ได้ก็ต้องผ่านการทดสอบหาสารภูมิแพ้มาแล้วครับ
-การใช้ยารักษา ใช้ในกรณีที่ผู้ป่วยทราบว่าตนเองแพ้สิ่งใดแต่ในบางกรณีก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงไม่ให้สัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้นั้นได้ ยารักษาโรคภูมิแพ้ที่แพทย์จ่ายให้กับผู้ป่วยนั้นจะเข้าไปช่วย บรรเทาและควบคุมอาการแสดงออกที่เกิดขึ้นครับ เช่นยาลดน้ำมูก ยาแก้คันเป็นต้น
-การฉีดวัคซีนรักษาโรคภูมิแพ้โดยแพทย์จะทำการฉีดสารก่อภูมิแพ้เข้าสู่ร่างกายของผู้ป่วยเพื่อให้ผู้ป่วยสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมา โดยสารที่ใช้ฉีดจะต้องเป็นสารที่ผู้ป่วยถูกทดสอบแล้วว่าแพ้จริงในช่อง ของการทดสอบหาสารภูมิแพ้ครับ โดยเริ่มต้นฉีดจากปริมาณที่น้อยก่อนจะค่อย ๆ เพิ่มขึ้นตามตารางเพิ่มขนาดยาที่กำหนด
2. การรักษาโดยวิธีการทางธรรมชาติ
การรักษาโดยวิธีการทางธรรมชาติจะมุ่งเน้นไปที่การใช้สมุนไพรเพื่อช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกาย สำหรับสมุนไพรที่ช่วยกระตุ้นภูมิต้านทานมีดังนี้
-หอมหัวแดง : มีสารไบโอฟลาไลนอยส์ชื่อเคอซิตินที่คล้ายยาแผนปัจจุบันที่ชื่อโครโมลินโซเดียม ซึ่งใช้ในการรักษาโรคภูมิแพ้และอาการหอบหืด
-ขมิ้นชัน : จากงานวิจัยพบว่าในขมิ้นชันมีสารต้านอิสตามินจึงช่วยบรรเทาอาการภูมิแพ้อย่างได้ผลครับ
-ลูกยอ : มีสรรพคุณในการแก้หอบหืด แพ้อากาศ แก้ไอ และแก้หวัดอย่างได้ผล
-ฟ้าทะลายโจร : แม้จะไม่สรรพคุณในการรักษาภูมิแพ้โดยตรงแต่ฟ้าทะลายโจรมีสรรพคุณในการ เสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง
การป้องกันโรคภูมิแพ้
ปัจจุบันไม่มีวิธีการป้องกันโรคภูมิแพ้ครับ แต่สำหรับผู้ที่เป็นโรคภูมิแพ้นั้นการปฏิบัติตนที่ดีที่สุดในการต่อสู้กับโรคภูมิแพ้คือการหลีกเลี่ยงไม่สัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้ รวมถึงการดูแลร่างกายให้สดชื่นแข็งแรงอยู่เสมอ พักผ่อนให้เพียงพอและออกกำลังกายเป็นประจำ รวมถึงปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัดเพียงเท่านี้โรคภูมิแพ้ก็จะไม่กำเริบและมาเล่นงานคุณได้อีกครับ
แม้จะไม่ใช่โรคที่มีอันตรายอย่างร้ายแรงแต่ภูมิแพ้ก็สร้างความรำคาญให้กับผู้คนอย่างมากครับ ดังนั้นเพื่อให้คุณหลีกเลี่ยงอาการภูมิแพ้อย่างมีประสิทธิภาพ การดูแลสุขภาพให้สมบูรณ์แข็งแรงอยู่เสมอจะเป็นวิธีการป้องกันภูมิแพ้อย่างได้ผลที่สุดครับ
-
สารสกัดพลูคาว พืชไทยล้มไวรัสร้ายตระกูล โคโรน่า เสริมภูมิคุ้มกันต้านไวรัสProduct on sale
2,500.00฿990.00฿
Add Comment