โรคริดสีดวงทวารเป็นโรคที่สร้างความลำบากในการดำเนินชีวิตไม่น้อย ถึงแม้จะไม่มีอันตรายรุนแรงจนถึงแก่ชีวิตแต่กระนั้นก็ทำความลำบากให้กับผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้ นั่นก็เพราะความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นที่บริเวณทวารหนักนั้นจะทำให้ผู้ป่วยเป็นทุกข์ทรมานอย่างมากในขณะขับถ่าย และก็ไม่เว้นแม้กระทั่งการนั่งตามปกติก็อาจสร้างความเจ็บปวดหรือความรู้สึกไม่สบายให้เกิดขึ้นกับผู้ป่วยได้เช่นกัน อาการหนึ่งที่ผู้ป่วยพูดเป็นเสียงเดียวกันก็คือความรู้สึกเสมือนมีลมพัดผ่านอยู่ในรูทวารตลอดเวลา ความรู้สึกนี้เองที่สร้างความรำคาญให้แก่ผู้ป่วยจำนวนหนึ่ง ในปัจจุบันเราพบว่าโรคนี้กลายเป็นอีกหนึ่งโรคยอดฮิตที่คนในยุคปัจจุบันเป็นกันมากขึ้น เหตุก็เพราะวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไปคือสาเหตุหลักที่ทำให้เป็นโรคริดสีดวงทวารครับ โรคริดสีดวงทวารคืออะไร และสร้างความยากลำบากให้กับผู้ป่วยได้อย่างไร บทความนี้มีคำตอบครับ
โรคริดสีดวงคืออะไร และเหตุใดจึงสร้างความลำบากให้กับผู้ป่วยในการใช้ชีวิต
โรคริดสีดวงทวารเกิดจากความผิดปกติของหลอดเลือดดำที่บริเวณทวารหนักหรือในส่วนปลายสุดของลำไส้ใหญ่ที่อยู่ติดกับบริเวณทวารหนักมีการโป่งพองเกิดขึ้นและยื่นออกมา ซึ่งมีสาเหตุมาจากแรงดันที่เกิดขึ้นในหลอดเลือดดำและดันให้หลอดเลือดนั้นโป่งออกมาจนมีลักษณะคล้ายติ่งเนื้อยื่นออกมาจากทวารหนัก ในบางรายติ่งที่ยื่นออกมานี้จะสร้างความเจ็บปวดให้แก่ผู้ป่วยและทำให้ผู้ป่วยเกิดความลำบากในขณะนั่งขับถ่ายได้ครับ นอกจากนี้ในบางกรณีอาจพบเลือดออกขณะที่ถ่ายอุจจาระหรือหลังจากการถ่ายอุจจาระได้เช่นกัน ซึ่งเมื่อถึงระยะนี้ผู้ป่วยมักจะมีความเจ็บปวดตรงบริเวณที่เป็นริดสีดวงร่วมด้วย
โรคริดสีดวงแบ่งได้เป็น 2 ประเภทตามลักษณะที่ปรากฏครับ โดยการแบ่งประเภทริดสีดวงสามารถแบ่งได้ดังนี้
– ริดสีดวงชนิดภายใน: คือริดสีดวงที่เกิดขึ้นภายในทวารหนักตรงบริเวณลำไส่ใหญ่ส่วนปลายกับทวารหนักส่วนบน ซึ่งเมื่อดูจากภายนอกเราจะมองไม่เห็นติ่งของริดสีดวงเกิดขึ้นเลย และริดสีดวงประเภทนี้ก็ไม่สร้างความเจ็บปวดให้กับผู้ป่วยครับเพราะบริเวณที่เกิดมีเส้นประสาทรับความรู้สึกน้อยกว่า
– ริดสีดวงชนิดภายนอก: คือริดสีดวงที่เกิดขึ้นที่ส่วนล่างของทวารหนัก มักปรากฏการนูนหรือลักษณะเป็นติ่งเกิดขึ้นที่ช่องทวารหนัก ซึ่งผู้ป่วยจะรับรู้การเกิดขึ้นของริดสีดวงประเภทนี้ได้จากการสัมผัสเจอติ่งเนื้อนี้ครับ ริดสีดวงประเภทนี้สามารถสร้างความเจ็บปวดให้กับผู้ป่วยได้มากกว่าริดสีดวงชนิดภายในเพราะบริเวณที่เกิดริดสีดวงมีเส้นประสาทรับความรู้สึกมากกว่านั่นเอง
ผู้ป่วยที่เป็นริดสีดวงอาจจะตรวจพบว่าเกิดริดสีดวงทั้ง 2 ชนิดพร้อม ๆกันได้ครับ โดยริดสีดวงยังแบ่งระดับความรุนแรงได้ 4 ระดับดังนี้
– ขั้นแรก คือเกิดติ่งริดสีดวงขึ้นภายในช่องทวารหนักเท่านั้น และติ่งที่เกิดขึ้นก็มีขนาดเล็กโดยไม่สามารถมองเห็นจากด้านนอกหรือรู้สึกถึงความผิดปกติได้
– ขั้นที่ 2 คือติ่งริดสีดวงเริ่มมีขนาดใหญ่ขึ้นกว่าเดิม ติ่งนี้สามารถยื่นออกมาภายนอกได้เมื่อมีการเบ่งหรือถ่ายอุจจาระ และติ่งนี้สามารถหดกลับเข้าไปอยู่ด้านในได้เอง
– ขั้นที่ 3 เป็นริดสีดวงที่ยื่นออกมาจากช่องทวารหนักเมื่อมีการเบ่งหรือถ่ายอุจจาระ ผู้ป่วยจะเริ่มรู้สึกได้ว่ามีติ่งเนื้อยื่นลงมา แต่ยังสามารถดันกลับเข้าไปในช่องทวารหนักได้
– ขั้นที่ 4 เรียกว่าเป็นริดสีดวงถาวร คือติ่งริดสีดวงยื่นออกมาจากทวารหนักและไม่สามารถดันกลับเข้าไปข้างในได้อีกต่อไป ติ่งริดสีดวงนี้จะมีขนาดใหญ่กว่าขั้นที่ผ่านมาครับ
โรคริดสีดวงเกิดจากอะไร
โรคริดสีดวงทวารก็เป็นอีกหนึ่งโรคที่ยังไม่สามารถสรุปได้ชัดเจนครับว่าเกิดจากสาเหตุใด แต่กระนั้นจากเหตุผลของการเกิดแรงดันที่เพิ่มขึ้นของหลอดเลือดดำบริเวณทวารหนัก ก็อาจสัมพันธ์กับปัจจัยต่าง ๆดังต่อไปนี้
– การเบ่งอุจจาระอย่างรุนแรง รวมถึงการนั่งถ่ายอุจจาระเป็นเวลานาน ซึ่งทั้งหมดนี้มักจะสัมพันธ์กับอาการท้องผูกครับ ซึ่งผู้ป่วยมักจะให้ข้อมูลว่าตนเองมักจะมีอาการท้องผูกบ่อยจึงต้องนั่งถ่ายอุจจาระเป็นเวลานานรวมถึงต้องออกแรงเบ่งอุจจาระแรงขึ้น
– โรคอุจจาระร่วงเรื้อรัง ผู้ที่มีปัญหาอุจจาระร่วงเรื้อรังก็มีโอกาสเป็นโรคริดสีดวงทวารได้เช่นกัน เพราะการขับถ่ายบ่อยก็มีโอกาสทำให้เกิดแรงดันในหลอดเลือดดำเพิ่มสูงขึ้นได้ครับ
– การตั้งครรภ์ ทำให้ต้องนั่งถ่ายอุจจาระนานขึ้นก็มีโอกาสเกิดโรคริดสีดวงได้เช่นกัน
– พฤติกรรมการนั่งขับถ่ายนาน โดยไม่ได้มีปัญหาท้องผูก เช่นการนั่งเล่นโทรศัพท์ไปพร้อม ๆกับการขับถ่ายก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้เกิดแรงดันในหลอดเลือดดำและกลายเป็นริดสีดวงทวารได้
การรักษาโรคริดสีดวงทวารทำได้อย่างไรบ้าง
การรักษาโรคริดสีดวงทวารในปัจจุบันมีแนวทางการรักษาทั้งทางการแพทย์แผนปัจจุบันและการใช้ธรรมชาติบำบัดครับ ซึ่งรายละเอียดในแต่ละวิธีการรักษามีดังต่อไปนี้
1. การรักษาทางการแพทย์แผนปัจจุบัน
– ในกรณีที่ไม่รุนแรงแพทย์จะแนะนำให้ผู้ป่วยดูแลตนเองโดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่มีความเสี่ยงไปกระตุ้นให้อาการแย่ลงเช่น เน้นให้ผู้ป่วยทานอาหารที่มีกากใยสูงเพื่อป้องกันภาวะท้องผูก แช่น้ำอุ่นบริเวณก้นควบคู่ไปกับการทายาและรับประทานยาแก้ปวดเพื่อบรรเทาอาการปวดหรือเจ็บบริเวณที่เป็นริดสีดวงครับ
– แต่ในกรณีที่รุนแรงแพทย์อาจพิจารณาใช้การรักษาเพิ่มเติมเช่นการฉีดยาบริเวณที่เป็นเพื่อให้หลอดเลือดหดกลับเข้าไป การพิจารณาใช้ยางรัดเพื่อให้ริดสีดวงฝ่อ การจี้ด้วยเลเซอร์ อินฟราเรดหรือเครื่องจี้ไฟฟ้ารวมไปถึงการผ่าตัดเพื่อรักษาริดสีดวงครับ
2. การรักษาด้วยวิธีทางธรรมชาติ
การรักษาโดยวิธีการทางธรรมชาติจะเป็นการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่เสี่ยงต่อการกระตุ้นให้โรคริดสีดวงรุนแรงขึ้นร่วมกับการใช้สมุนไพรที่มีสรรพคุณในการรักษาโรคริดสีดวงครับ ซึ่งสมุนไพรที่ใช้รักษาริดสีดวงที่เราได้ยินกันบ่อย ๆมีดังนี้
– เพชรสังฆาต ช่วยบรรเทาอาการของริดสีดวงอย่างได้ผล วิธีใช้คือหั่นเป็นปล้องเล็ก ๆหุ้มด้วยกล้วยหรือมะขามสุก รับประทาน 10-15 วันอาการของริดสีดวงจะบรรเทาและหายได้ในที่สุด
– ว่านหางจระเข้ นำว่านหางจระเข้มาปลอกส่วนนอกออก เหลาให้แหลมและใช้เหน็บเพื่อรักษาอาการของโรคริดสีดวงได้ครับ
– กระเจี๊ยบ มีสรรพคุณช่วยลดการอักเสบจึงสามารถบรรเทาอาการของริดสีดวงได้เช่นกัน
– ขลู่ นำใบมาต้มเป็นชาดื่ม หรือใช้เปลือกของลำต้นมาต้มน้ำให้ไอรมที่บริเวณก้นก็จะช่วยลดการอักเสบของริดสีดวงได้
– อัคคีทวาร ใช้รากหรือต้นฝนกับน้ำปูนใสทาบริเวณที่เป็นริดสีดวง หรือนำใบมาตากแห้ง บดเป็นผง คลุกน้ำผึ้งปั้นเป็นก้อนทาน 7-10 วัน หรืออาจนำใบแห้งป่นเป็นผงโรยถ่านไฟเพื่อเอาควันรมหัวริดสีดวงก็จะช่วยให้อาการริดสีดวงบรรเทาได้ครับ
การป้องกันไม่ใหเกิดโรคริดสีดวงทวาร
การป้องกันริดสีดวงทวารที่ดีที่สุดคือการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเสี่ยงของตนเองครับ เช่นการรับประทานอาหารที่มีกากใยสูง ดื่มน้ำเพียงพอเพื่อป้องกันปัญหาท้องผูก ปนรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการขับถ่ายเช่นไม่ควรอั้นอุจจาระ หรือเบ่งอุจจาระอย่างรุนแรง และไม่นั่งถ่ายอุจจาระนานเกินไป แต่หากปรับเปลี่ยนพฤติกรรมแล้วปัญหาการขับถ่ายยังไม่ดีขึ้นก็อาจทานไฟเบอร์เสริมเพื่อให้อุจจาระนิ่มขึ้นได้ครับ นอกจากนี้การออกกำลังกายหรือเคลื่อนไหวร่างกายอย่างเพียงพอก้จะช่วยทำให้ลำไส้ทำงานดีขึ้นและทำให้ระบบขับถ่ายดีขึ้นได้
แม้จะไม่ใช่โรคที่อันตราย แต่ด้วยปัจจัยด้านพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมก็ทำให้คนในยุคนี้มีโอกาสเป็นโรคริดสีดวงได้มากขึ้น ดังนั้นการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมจึงจะช่วยป้องกันไม่ให้คุณเป็นโรคริดสีดวงอย่างได้ผลครับ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตเสียใหม่ไม่ได้ช่วยป้องกันแค่เพียงปัญหาของริดสีดวงเท่านั้น แต่ยังเป็นการสร้างเสริมสุขภาพโดยรวมของคุณให้ดีขึ้นตามไปด้วย อย่าคิดแต่เพียงว่ามีแค่ริดสีดวงเท่านั้นที่จะบั่นทอนสุขภาพของคุณ เพราะหากยังไม่ยอมเปลี่ยนแปลงตัวเอง คุณก็อาจจะป่วยเป็นอะไรที่มากกว่าริดสีดวงได้เช่นกัน
Add Comment