Healthykare ยินดีต้อนรับ
เวลาทำการ 8.00-18.00 จันทร์ - ศุกร์
Close
ถ.ประเสริฐมนูกิจ แขวงลาดพร้าว เขตลาดพร้าว กรุงเทพฯ 10230 92 หมู่บ้านพรีเมี่ยมเพลส ซ.ประเสริฐมนูกิจ 29
เวลาทำการ 8.00-18.00 จันทร์ - ศุกร์

โรคลำไส้แปรปรวน เดี๋ยวถ่ายเป็นเหลว เดี๋ยวถ่ายแข็งไม่ออก

โรคลำไส้แปรปรวน เดี๋ยวถ่ายเป็นเหลว เดี๋ยวถ่ายแข็งไม่ออก

            โรคลำไส้แปรปรวนเป็นโรคที่ถูกพูดถึงมากขึ้นในปัจจุบันครับ โรคนี้แม้จะไม่ได้มีอันตรายจนถึงแก่ชีวิตแต่ก็สร้างความรำคาญและความลำบากให้แก่ผู้ที่เป็นโรคนี้อยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะปัญหาที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่มักเกิดกับระบบขับถ่ายซึ่งสร้างปัญหาในการใช้ชีวิตประจำวันของผู้ที่เป็นโรคนี้ไม่น้อยเลยทีเดียว โรคลำไส้แปรปรวนเป็นอย่างไร และสร้างปัญหาให้กับผู้คนได้อย่างไร บทความนี้เราจะพาทุกท่านไปทำความรู้จักกันครับ

ลำไส้แปรปรวน กลุ่มอาการของคนยุคใหม่กับอุบัติการณ์ที่สร้างความลำบากในชีวิตประจำวันอย่างมาก

            โรคลำไส้แปรปรวนเป็นกลุ่มอาการที่ถูกอธิบายถึงความผิดปกติของการทำงานของลำไส้ครับ ทำให้เกิดอาการไม่สบายท้อง ปวดท้องและแน่นท้อง หรือมีแก๊สในท้องร่วมกับมีปัญหาเกี่ยวข้องกับระบบขับถ่ายทั้งท้องผูก ท้องเสีย หรืออาจมีอาการสลับกันระหว่างท้องผูกและท้องเสียครับ ในขณะที่บางรายอาจมีอาการปวดท้องมากหลังจากรับประทานอาหารเสร็จแต่อาการทั้งหมดจะดีขึ้นหลังการขับถ่าย

นอกจากนี้อาจมีอาการของอุจจาระแข็งหรือนิ่มกว่าปกติและมีความรู้สึกว่าอุจจาระไม่สุด หรือพบว่าอุจจาระมีเมือกใสหรือมีสีขาวปนออกมาร่วมกับอาการอั้นอุจจาระไม่อยู่ครับ ยังพบอาการในระบบอื่น ๆของร่างกายร่วมได้เช่นหมดแรง ปวดหลัง กลั้นปัสสาวะไม่อยู่เป็นต้น

อาการทั้งหมดที่กล่าวมานี้ล้วนแล้วแต่สร้างความลำบากและความรำคาญในการใช้ชีวิตประจำวันของผู้ป่วยแทบทั้งสิ้น ซึ่งปัญหาลำไส้แปรปรวนนี้มักพบในเพศหญิงมากกว่าเพศชายถึง 2 เท่าครับ

สาเหตุของโรคลำไส้แปรปรวน

            สาเหตุที่ทำให้เกิดโรคลำไส้แปรปรวนนั้นแพทย์ยังหาสาเหตุโดยตรงที่ทำให้เกิดโรคนี้ไม่ได้ แต่ในทางการแพทย์คาดการณ์ว่าเหตุที่ทำให้เกิดโรคลำไส้แปรปรวนน่าจะมาจากสาเหตุหลายปัจจัยที่เป็นตัวกระตุ้นที่ทำให้เกิดโรคนี้ครับ ซึ่งปัจจัยที่อาจส่งผลให้เกิดโรคลำไส้แปรปรวนมีดังต่อไปนี้  

            – เพศ: ซึ่งอย่างที่กล่าวมาแล้วข้างต้นว่าโรคลำไส้แปรปรวนนั้นมีโอกาสพบได้ในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย ซึ่งน่าจะสัมพันธ์กับระดับการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในช่วงที่มีประจำเดือนของเพศหญิง

            – อายุ: โรคนี้สามารถเกิดได้ในคนทุกวัยครับ แต่จากรายงานทางการแพทย์พบว่าช่วงอายุที่พบได้มากที่สุดจะเริ่มตั้งแต่ในกลุ่มวัยรุ่นไปจนถึงช่วงอายุประมาณ 40-50 ปี

            – พันธุกรรม: หากพบสมาชิกในครอบครัวที่เป็นโรคลำไส้แปรปรวนก็มีแนวโน้มเป็นอย่างมากที่จะพบสมาชิกคนอื่น ๆเป็นโรคลำไส้แปรปรวนได้เช่นกัน โรคนี้จึงเป็นอีกหนึ่งโรคที่มีแนวโน้มมาจากพันธุกรรมได้ครับ

            – ปัญหาทางด้านอารมณ์และจิตใจ: มีรายงานทางการแพทย์ระบุเอาไว้ว่าสภาพจิตใจและอารมณ์ก็ส่งผลให้เกิดภาวะของโรคลำไส้แปรปรวนได้เช่นกัน บุคคลที่มีความเครียด มีความวิตกกังวลหรือมีปัญหาทางจิตก็มีแนวโน้มที่จะมีปัญหาของโรคลำไส้แปรปรวนมากกว่าผู้ที่มีสุขภาพจิตดีครับ

            – มีความไวต่ออาหารประเภทใดประเภทหนึ่งมากเป็นพิเศษ: เช่นผลิตภัณฑ์อาหารที่มีส่วนประกอบของนม เนย ชีส ช็อกโกแลต หรืออาหารประเภทข้าวสาลี และน้ำตาลในกลุ่มฟรุกโทส สารให้ความหวานในกลุ่ม sorbital รวมไปถึงของทอด อาหารที่มีไขมันสูง น้ำอัดลม ชา กาแฟ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก็อาจกระตุ้นให้เกิดภาวะของโรคลำไส้แปรปรวนได้

            – ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบการย่อยอาหาร เช่นการที่อาหารเคลื่อนตัวเร็วเกินไปในระบบทางเดินอาหารโดยร่างกายไม่ทันดูดซึมน้ำและสารอาหารก็จะทำให้เกิดอาการท้องเสียหรือหากอาหารเคลื่อนตัวผ่านทางเดินอาหารช้าเกินไปร่างกายดูดซึมน้ำและสารอาหารมากเกินไปก็จะทำให้เกิดภาวะท้องผูกได้ครับ

            – เกิดจากการใช้ยาบางชนิดในกระบวนการรักษาโรคก็อาจมีผลข้างเคียงที่ทำให้เกิดภาวะของลำไส้แปรปรวนได้เช่นกัน

การรักษาโรคลำไส้แปรปรวน

            ในปัจจุบันการรักษาโรคลำไส้แปรปรวนสามารถทำได้ทั้งการรักษาทางการแพทย์แผนปัจจุบันและทางธรรมชาติครับ ซึ่งแนวทางการรักษาทั้ง 2 วิธีมีแนวทางดังต่อไปนี้

1. การรักษาทางการแพทย์แผนปัจจุบัน

            แพทย์จะแนะนำให้ผู้ป่วยปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการรับประทานอาหารเช่นรับประทานอาหารที่มีเส้นใยสูง ดื่มน้ำมาก ๆในผู้ที่มีอาการท้องผูกบ่อย ๆ หรือลดการรับประทานอาหารที่มีเส้นในชนิดที่ไม่ละลายน้ำในผู้ที่มีอาการท้องเสียบ่อย นอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตที่ย่อยยากเพื่อไม่ให้เกิดแก๊สในกระเพาะอาหารจนนำไปสู่อาการท้องอืด รวมไปถึงละเว้นการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ชาและกาแฟหรือสารให้ความหวาน sorbital รวมไปถึงการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอครับ

            นอกจากนี้แพทย์อาจพิจารณาใช้ยาในการรักษาโดยพิจารณาไปตามอาการแสดงของโรคครับเช่นยาลดการเคลื่อนไหวของลำไส้ในผู้ป่วยที่มีอาการท้องเสีย หรือยาที่ไปกระตุ้นการทำงานของลำไส้ในผู้ป่วยที่มีอาการท้องผูกเป็นประจำรวมไปถึงยาที่ออกฤทธิ์ในการทำให้อุจจาระนิ่มเป็นต้น

2. การรักษาด้วยวิธีทางธรรมชาติ

            ในทางการรักษาแบบธรรมชาติก็ยังคงเน้นไปที่การปรับพฤติกรรมเช่นเดียวกันครับ แต่สิ่งที่เพิ่มเติมมาก็คือการใช้สมุนไพรเพื่อบรรเทาอาการลำไส้แปรปรวนครับ ซึ่งสมุนไพรที่น่าสนใจมีดังนี้

            – กะเพรามีสรรพคุณช่วยขับลมในกระเพาะอาหาร ช่วยลดการบีบตัวของลำไส้ ช่วยขับน้ำดีเพื่อช่วยย่อยอาหารและไขมันที่เป็นสาเหตุของอาการจุกเสียดแน่นท้องได้

            – แมงลักมีสรรพคุณขับลมในลำไส้และช่วยย่อยอาหาร ลดอาการอึดอัดแน่นท้องอย่างได้ผล

            – ตะไคร้มีสรรพคุณช่วยขับน้ำดีเพื่อช่วยในการย่อยอาหาร แก้อาการปวดท้อง ท้องอืด ท้องเฟ้อ และท้องเสีย และยังช่วยลดการบีบตัวของลำไส้ได้เช่นกัน

            – ขิง ช่วยขับลมในท้องจึงช่วยแก้ท้องอืด ท้องเฟ้อได้เป็นอย่างดี

            – ขมิ้นชันเองก็มีสรรพคุณในการแก้ท้องอืด ท้องเฟ้อและแก้อาการจุกเสียด

            – กล้วยน้ำว้ามีสรรพคุณที่หลากหลายครับ โดยผลห่ามจะช่วยรักษาอาการท้องเสีย ส่วนผลสุกจะช่วยแก้อาการท้องผูกได้

            – กระชายช่วยในเรื่องแก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อและขับลมรวมถึงแก้ท้องเสีย

            – ว่านหางจระเข้ สรรพคุณ ฤทธิ์รักษาแผลในกระเพาะอาหาร ฤทธิ์ลดการอักเสบ หลอดอาการ กระเพาะอาหาร และ สำไส้

การป้องกันโรคลำไส้แปรปรวน

            วิธีการป้องกันที่ดีที่สุดคือการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการบริโภคอาหารโดยเลี่ยงอาหารในกลุ่มที่จะไปกระตุ้นให้เกิดภาวะลำไส้แปรปรวน นอกจากนี้ควรฝึกที่จะบริหารจัดการภาวะเครียดหรือการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ต่าง ๆที่เกิดขึ้นให้รู้จักการรับมือกับภาวะเหล่านี้ให้ได้ครับ เพราะความเครียดเองก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้คนเป็นโรคลำไส้แปรปรวนได้เช่นกัน และควรหมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเพราะการออกกำลังกายจะไปช่วยกระตุ้นให้ลำไส้มีการทำงานที่ดีขึ้น

            แม้จะไม่ใช่กลุ่มโรคที่ทำให้เราต้องมีอันตรายถึงแก่ชีวิต แต่เพราะการรบกวนชีวิตประจำวันนี้ก็มากพอที่จะสร้างความรำคาญให้แก่ผู้ที่เป็นโรคนี้ได้ครับ ดังนั้นการหมั่นดูแลสุขภาพของตนเองจึงเป็นวิธีการที่ดีที่สุดซึ่งไม่เฉพาะช่วยในเรื่องของโรคนี้แต่ยังรวมถึงเป็นการเสริมสร้างความแข็งแรงให้เกิดขึ้นกับร่างกายเพื่อป้องกันโรคอื่น ๆที่จะตามมาในอนาคตครับ

Add Comment