โรคลำไส้แปรปรวนเป็นโรคที่ถูกพูดถึงมากขึ้นในปัจจุบันครับ โรคนี้แม้จะไม่ได้มีอันตรายจนถึงแก่ชีวิตแต่ก็สร้างความรำคาญและความลำบากให้แก่ผู้ที่เป็นโรคนี้อยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะปัญหาที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่มักเกิดกับระบบขับถ่ายซึ่งสร้างปัญหาในการใช้ชีวิตประจำวันของผู้ที่เป็นโรคนี้ไม่น้อยเลยทีเดียว โรคลำไส้แปรปรวนเป็นอย่างไร และสร้างปัญหาให้กับผู้คนได้อย่างไร บทความนี้เราจะพาทุกท่านไปทำความรู้จักกันครับ
ลำไส้แปรปรวน กลุ่มอาการของคนยุคใหม่กับอุบัติการณ์ที่สร้างความลำบากในชีวิตประจำวันอย่างมาก
โรคลำไส้แปรปรวนเป็นกลุ่มอาการที่ถูกอธิบายถึงความผิดปกติของการทำงานของลำไส้ครับ ทำให้เกิดอาการไม่สบายท้อง ปวดท้องและแน่นท้อง หรือมีแก๊สในท้องร่วมกับมีปัญหาเกี่ยวข้องกับระบบขับถ่ายทั้งท้องผูก ท้องเสีย หรืออาจมีอาการสลับกันระหว่างท้องผูกและท้องเสียครับ ในขณะที่บางรายอาจมีอาการปวดท้องมากหลังจากรับประทานอาหารเสร็จแต่อาการทั้งหมดจะดีขึ้นหลังการขับถ่าย
นอกจากนี้อาจมีอาการของอุจจาระแข็งหรือนิ่มกว่าปกติและมีความรู้สึกว่าอุจจาระไม่สุด หรือพบว่าอุจจาระมีเมือกใสหรือมีสีขาวปนออกมาร่วมกับอาการอั้นอุจจาระไม่อยู่ครับ ยังพบอาการในระบบอื่น ๆของร่างกายร่วมได้เช่นหมดแรง ปวดหลัง กลั้นปัสสาวะไม่อยู่เป็นต้น
อาการทั้งหมดที่กล่าวมานี้ล้วนแล้วแต่สร้างความลำบากและความรำคาญในการใช้ชีวิตประจำวันของผู้ป่วยแทบทั้งสิ้น ซึ่งปัญหาลำไส้แปรปรวนนี้มักพบในเพศหญิงมากกว่าเพศชายถึง 2 เท่าครับ
สาเหตุของโรคลำไส้แปรปรวน
สาเหตุที่ทำให้เกิดโรคลำไส้แปรปรวนนั้นแพทย์ยังหาสาเหตุโดยตรงที่ทำให้เกิดโรคนี้ไม่ได้ แต่ในทางการแพทย์คาดการณ์ว่าเหตุที่ทำให้เกิดโรคลำไส้แปรปรวนน่าจะมาจากสาเหตุหลายปัจจัยที่เป็นตัวกระตุ้นที่ทำให้เกิดโรคนี้ครับ ซึ่งปัจจัยที่อาจส่งผลให้เกิดโรคลำไส้แปรปรวนมีดังต่อไปนี้
– เพศ: ซึ่งอย่างที่กล่าวมาแล้วข้างต้นว่าโรคลำไส้แปรปรวนนั้นมีโอกาสพบได้ในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย ซึ่งน่าจะสัมพันธ์กับระดับการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในช่วงที่มีประจำเดือนของเพศหญิง
– อายุ: โรคนี้สามารถเกิดได้ในคนทุกวัยครับ แต่จากรายงานทางการแพทย์พบว่าช่วงอายุที่พบได้มากที่สุดจะเริ่มตั้งแต่ในกลุ่มวัยรุ่นไปจนถึงช่วงอายุประมาณ 40-50 ปี
– พันธุกรรม: หากพบสมาชิกในครอบครัวที่เป็นโรคลำไส้แปรปรวนก็มีแนวโน้มเป็นอย่างมากที่จะพบสมาชิกคนอื่น ๆเป็นโรคลำไส้แปรปรวนได้เช่นกัน โรคนี้จึงเป็นอีกหนึ่งโรคที่มีแนวโน้มมาจากพันธุกรรมได้ครับ
– ปัญหาทางด้านอารมณ์และจิตใจ: มีรายงานทางการแพทย์ระบุเอาไว้ว่าสภาพจิตใจและอารมณ์ก็ส่งผลให้เกิดภาวะของโรคลำไส้แปรปรวนได้เช่นกัน บุคคลที่มีความเครียด มีความวิตกกังวลหรือมีปัญหาทางจิตก็มีแนวโน้มที่จะมีปัญหาของโรคลำไส้แปรปรวนมากกว่าผู้ที่มีสุขภาพจิตดีครับ
– มีความไวต่ออาหารประเภทใดประเภทหนึ่งมากเป็นพิเศษ: เช่นผลิตภัณฑ์อาหารที่มีส่วนประกอบของนม เนย ชีส ช็อกโกแลต หรืออาหารประเภทข้าวสาลี และน้ำตาลในกลุ่มฟรุกโทส สารให้ความหวานในกลุ่ม sorbital รวมไปถึงของทอด อาหารที่มีไขมันสูง น้ำอัดลม ชา กาแฟ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก็อาจกระตุ้นให้เกิดภาวะของโรคลำไส้แปรปรวนได้
– ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบการย่อยอาหาร เช่นการที่อาหารเคลื่อนตัวเร็วเกินไปในระบบทางเดินอาหารโดยร่างกายไม่ทันดูดซึมน้ำและสารอาหารก็จะทำให้เกิดอาการท้องเสียหรือหากอาหารเคลื่อนตัวผ่านทางเดินอาหารช้าเกินไปร่างกายดูดซึมน้ำและสารอาหารมากเกินไปก็จะทำให้เกิดภาวะท้องผูกได้ครับ
– เกิดจากการใช้ยาบางชนิดในกระบวนการรักษาโรคก็อาจมีผลข้างเคียงที่ทำให้เกิดภาวะของลำไส้แปรปรวนได้เช่นกัน
การรักษาโรคลำไส้แปรปรวน
ในปัจจุบันการรักษาโรคลำไส้แปรปรวนสามารถทำได้ทั้งการรักษาทางการแพทย์แผนปัจจุบันและทางธรรมชาติครับ ซึ่งแนวทางการรักษาทั้ง 2 วิธีมีแนวทางดังต่อไปนี้
1. การรักษาทางการแพทย์แผนปัจจุบัน
แพทย์จะแนะนำให้ผู้ป่วยปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการรับประทานอาหารเช่นรับประทานอาหารที่มีเส้นใยสูง ดื่มน้ำมาก ๆในผู้ที่มีอาการท้องผูกบ่อย ๆ หรือลดการรับประทานอาหารที่มีเส้นในชนิดที่ไม่ละลายน้ำในผู้ที่มีอาการท้องเสียบ่อย นอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตที่ย่อยยากเพื่อไม่ให้เกิดแก๊สในกระเพาะอาหารจนนำไปสู่อาการท้องอืด รวมไปถึงละเว้นการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ชาและกาแฟหรือสารให้ความหวาน sorbital รวมไปถึงการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอครับ
นอกจากนี้แพทย์อาจพิจารณาใช้ยาในการรักษาโดยพิจารณาไปตามอาการแสดงของโรคครับเช่นยาลดการเคลื่อนไหวของลำไส้ในผู้ป่วยที่มีอาการท้องเสีย หรือยาที่ไปกระตุ้นการทำงานของลำไส้ในผู้ป่วยที่มีอาการท้องผูกเป็นประจำรวมไปถึงยาที่ออกฤทธิ์ในการทำให้อุจจาระนิ่มเป็นต้น
2. การรักษาด้วยวิธีทางธรรมชาติ
ในทางการรักษาแบบธรรมชาติก็ยังคงเน้นไปที่การปรับพฤติกรรมเช่นเดียวกันครับ แต่สิ่งที่เพิ่มเติมมาก็คือการใช้สมุนไพรเพื่อบรรเทาอาการลำไส้แปรปรวนครับ ซึ่งสมุนไพรที่น่าสนใจมีดังนี้
– กะเพรามีสรรพคุณช่วยขับลมในกระเพาะอาหาร ช่วยลดการบีบตัวของลำไส้ ช่วยขับน้ำดีเพื่อช่วยย่อยอาหารและไขมันที่เป็นสาเหตุของอาการจุกเสียดแน่นท้องได้
– แมงลักมีสรรพคุณขับลมในลำไส้และช่วยย่อยอาหาร ลดอาการอึดอัดแน่นท้องอย่างได้ผล
– ตะไคร้มีสรรพคุณช่วยขับน้ำดีเพื่อช่วยในการย่อยอาหาร แก้อาการปวดท้อง ท้องอืด ท้องเฟ้อ และท้องเสีย และยังช่วยลดการบีบตัวของลำไส้ได้เช่นกัน
– ขิง ช่วยขับลมในท้องจึงช่วยแก้ท้องอืด ท้องเฟ้อได้เป็นอย่างดี
– ขมิ้นชันเองก็มีสรรพคุณในการแก้ท้องอืด ท้องเฟ้อและแก้อาการจุกเสียด
– กล้วยน้ำว้ามีสรรพคุณที่หลากหลายครับ โดยผลห่ามจะช่วยรักษาอาการท้องเสีย ส่วนผลสุกจะช่วยแก้อาการท้องผูกได้
– กระชายช่วยในเรื่องแก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อและขับลมรวมถึงแก้ท้องเสีย
– ว่านหางจระเข้ สรรพคุณ ฤทธิ์รักษาแผลในกระเพาะอาหาร ฤทธิ์ลดการอักเสบ หลอดอาการ กระเพาะอาหาร และ สำไส้
การป้องกันโรคลำไส้แปรปรวน
วิธีการป้องกันที่ดีที่สุดคือการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการบริโภคอาหารโดยเลี่ยงอาหารในกลุ่มที่จะไปกระตุ้นให้เกิดภาวะลำไส้แปรปรวน นอกจากนี้ควรฝึกที่จะบริหารจัดการภาวะเครียดหรือการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ต่าง ๆที่เกิดขึ้นให้รู้จักการรับมือกับภาวะเหล่านี้ให้ได้ครับ เพราะความเครียดเองก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้คนเป็นโรคลำไส้แปรปรวนได้เช่นกัน และควรหมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเพราะการออกกำลังกายจะไปช่วยกระตุ้นให้ลำไส้มีการทำงานที่ดีขึ้น
แม้จะไม่ใช่กลุ่มโรคที่ทำให้เราต้องมีอันตรายถึงแก่ชีวิต แต่เพราะการรบกวนชีวิตประจำวันนี้ก็มากพอที่จะสร้างความรำคาญให้แก่ผู้ที่เป็นโรคนี้ได้ครับ ดังนั้นการหมั่นดูแลสุขภาพของตนเองจึงเป็นวิธีการที่ดีที่สุดซึ่งไม่เฉพาะช่วยในเรื่องของโรคนี้แต่ยังรวมถึงเป็นการเสริมสร้างความแข็งแรงให้เกิดขึ้นกับร่างกายเพื่อป้องกันโรคอื่น ๆที่จะตามมาในอนาคตครับ
Add Comment