“ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ” คำกล่าวนี้ดูจะไม่เกินจริงเลย ไม่ว่าจะยุคใดสมัยใด เพราะโรคภัยไข้เจ็บคือจุดเริ่มต้นของผลกระทบต่าง ๆ ที่ตามมามากมาย ไม่ว่าจะเป็นสุขภาพที่ย่ำแย่เสื่อมโทรม สูญเสียเงินทองเพื่อใช้รักษาพยาบาล และสุขภาพจิตที่ย่ำแย่ลงจากความวิตกกังวล เป็นต้น
โรคภัยไข้เจ็บหลายโรคสามารถรักษาให้หายได้ แม้กระทั่งอาการที่ปรากฏออกมาอาจดูไม่ดีนัก บางโรคอาจต้องใช้การตรวจร่างกายจึงจะพบและทำการรักษา ซึ่งหนึ่งในโรคที่ต้องใช้การตรวจร่างกายหรือการตรวจสุขภาพเพื่อค้นหาความผิดปกติที่เกิดขึ้น นั่นก็คือ “โรคความดันโลหิตสูง” ซึ่งแม้ภายนอกจะดูปกติ แต่โรคนี้มักกัดกร่อนให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่อันตราย เป็นโรคที่มาอย่างเงียบ ๆ แต่เป็นอันตรายอย่างยิ่งในระยะยาว ในทุกเพศ ทุกวัย โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ
โรคความดันโลหิตสูง คือ
ก่อนอื่นคงต้องมาทำความรู้จักกับโรคนี้กันเสียก่อน ความดันโลหิตสูง (hypertension) คือ ภาวะความผิดปกติของความดันเลือดภายในหลอดเลือดแดง โดยค่าความดันเลือดที่วัดได้จะได้ค่าความดันที่ “สูง” อยู่ตลอดเวลา ซึ่งปกติแล้วความดันโลหิตในคนปกติจะมีค่า 120/80 mmHg (มิลลิเมตรปรอท) โดยค่าความดันตัวแรกเราเรียกว่าค่า Systolic หรือค่าความดันในขณะที่หัวใจบีบตัวเพื่อส่งเลือดไปเลี้ยงร่างกาย และค่าความดันตัวที่ 2 เราเรียกว่าค่า diastolic หรือค่าความดันในขณะที่หัวใจคลายตัวภายหลังการบีบตัวนั่นเอง
สาเหตุที่เราต้องมีความดันโลหิตเนื่องมาจากการบีบตัวของหัวใจแต่ละครั้งเพื่อส่งเลือดไปเลี้ยงร่างกาย ร่างกายของเราจะมีแรงต้านจากในหลอดเลือดจึงต้องพยายามปั๊มหรือสูบฉีกเลือดไปเลี้ยงร่างกาย และความพยายามปั๊มเลือดเพื่อไปเลี้ยงร่างกายนี่เอง คือค่าความดันโลหิตที่เราวัดได้ ดังนั้นเมื่อร่างกายเกิดความผิดปกติจนทำให้แรงต้านนี้สูงขึ้น หัวใจต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อส่งเลือดออกไป เมื่อต้องพยายามปั๊มเลือดเพื่อเอาชนะแรงต้านให้ได้ นี่คือสาเหตุที่ทำให้ความดันโลหิตของเราสูงขึ้น เมื่อเกิดเป็นระยะเวลานานจึงกลายเป็นภาวะความดันโลหิตสูงในที่สุด
โรคความดันโลหิตสูงในผู้สูงอายุ เกิดจากอะไร
โรคความดันโลหิตสูงมี 2 ประเภท ได้แก่
– ความดันโลหิตสูงโดยไม่ทราบสาเหตุ (Primary Hypertension) นี่คือกลุ่มที่พบได้มากที่สุดโดยเฉพาะในผู้ใหญ่ สิ่งที่น่าปวดหัวก็คือกลุ่มนี้มักมีอาการต่อเนื่องมานานและค่อยเป็นค่อยไปจนไม่สามารถระบุต้นเหตุของโรคได้ในที่สุด
– ความดันโลหิตสูงที่ทราบสาเหตุ (Secondary Hypertension) ส่วนมากเกิดจากภาวะผิดปกติบางอย่างในร่างกาย เช่น เป็นโรคไต, ต่อมไทรอยด์, เนื้องอก, ต่อมหมวกไต, หลอดเลือดผิดปกติแต่กำเนิด, ใช้ยาบางชนิด, ใช้สารเสพติดหรือแอลกอฮอล์ เป็นต้น
แต่ในบางครั้งก็พบว่ามีปัจจัยบางอย่างที่มีส่วนทำให้เป็นโรคความดันโลหิตสูง ปัจจัยดังกล่าวเช่น
– อายุ : อายุมากขึ้นมีโอกาสเป็นความดันโลหิตสูงมากขึ้น
– เพศ : ผู้ชายพบได้มากกว่าผู้หญิงและอายุเฉลี่ยที่พบก็น้อยกว่า
– พันธุกรรม : ผู้ที่พบประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคนี้ มีโอกาสเสี่ยงมากกว่า
– รับประทานอาหารที่มีโซเดียมสูง
– สูบบุหรี่ : ทำให้หลอดเลือดแข็ง ตีบตัน หัวใจต้องบีบตัวเพื่อสูบฉีดเลือดมากขึ้น
– โรคอ้วน
– ขาดการออกกำลังกาย
โรคความดันโลหิตสูงในผู้สูงอายุ อาการโรคความดันโลหิตสูง
ที่น่าเศร้าคือโรคนี้ไม่แสดงอาการผิดปกติใด ๆ ออกมาเลย การตรวจพบจึงต้องอาศัยการตรวจสุขภาพหรือวัดความดันโลหิตอย่างสม่ำเสมอ ยกเว้นบางรายที่มีอาการรุนแรงก็อาจแสดงอาการบางอย่างออกมา เช่น ปวดศีรษะ เวียนหัว เลือดกำเดาไหล แต่อาการเหล่านี้ก็ยังไม่จัดว่าเป็นอาการจำเพาะเจาะจงจึงบอกไม่ได้อย่างชัดเจน โรคความดันโลหิตสูงจึงเป็นฆาตกรเงียบที่แฝงตัวเป็นกาฝากอย่างน่ากลัว
ความดันโลหิตสูง เท่าไหร่
โดยมากแล้วผู้ใดที่มีความดันโลหิตสูงกว่า 140/90 มิลลิเมตรปรอท จะเข้าข่ายโรคความดันโลหิตสูงทั้งสิ้น ซึ่งแบ่งได้เป็น 3 ระยะคือ
ระยะที่ 1 : วัดค่าความดันโลหิตได้ 140-159/90-99 mmHg
ระยะที่ 2 : วัดค่าความดันโลหิตได้ 160/100 mmHg
ระยะที่ 3 : วัดค่าความดันโลหิตได้ 180/110 mmHg ขึ้นไป
สำหรับผู้ที่มีค่าความดันโลหิตประมาณ 130/80 mmHgหรือสูงกว่าแต่ไม่ถึง 140/90 และต่อเนื่องเป็นเวลานาน คนเหล่านี้อยู่ในกลุ่มภาวะก่อนความดันโลหิตสูง มีความเสี่ยงเป็นความดันโลหิตสูงในอนาคต
โรคแทรกซ้อนของความดันโลหิต
โดยลักษณะอาการของโรคเองนั้นไม่น่ากลัวเท่ากับภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น ภาวะแทรกซ้อนที่พบได้ ได้แก่
สมอง : ทำให้หลอดเลือดสมองตีบหรือโป่งพอง มีโอกาสเป็นโรคหลอดเลือดสมอง
หัวใจ : เมื่อหัวใจต้องทำงานหนักทำให้หัวใจโต ประสิทธิภาพการทำงานลดลง มีโอกาสเกิดภาวะหัวใจวายเฉียบพลัน
หลอดเลือด : เป็นสาเหตุของภาวะหลอดเลือดตีบ, แข็งหรือโป่งพอง
ตา : มีผลต่อหลอดเลือดที่ตา ทำให้เลือดออกที่จอประสาทตา และหลอดเลือดที่จอประสาทตาอุดตัน
ไต : มีผลต่อหลอดเลือดที่ไต ทำให้เลือดมาเลี้ยงไตไม่พอ ทำให้มีโอกาสเกิดภาวะไตวาย
การรักษาโรคความดันโลหิตสูง
1. ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการบริโภคอาหาร ลดการทานโซเดียมหรืออาหารที่มีโซเดียมสูง รวมถึงการควบคุมไขมันและน้ำตาล ใช้สมุนไพรที่ช่วยลดความดันโลหิต เช่น กระเทียม
2. ไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และไม่สูบบุหรี่
3. หมั่นออกกำลังกายเป็นประจำสม่ำเสมอ
4. หมั่นตรวจสุขภาพประจำปี
5. ไม่อยู่ในภาวะที่มีความเครียดสะสม
6. ในบางรายอาจต้องใช้ยาช่วยลดความดันโลหิตตามที่แพทย์สั่ง
โรคความดันโลหิตสูงไม่น่ากลัวอย่างที่คิด หากเราเรียนรู้และรู้จักมันดีพอ สิ่งสำคัญไม่ได้อยู่ที่การรักษา แต่อยู่ที่เราจะป้องกันตนเองและดูแลตนเองอย่างไรให้ห่างไกลจากโรคความดันโลหิตสูง ยิ่งเฉพาะในคุณตาคุณยาย เพราะสุขภาพของคนในวัยนี้ต้องการการดูแลเอาใจใส่เป็นพิเศษ เพื่อให้คุณตาคุณยายมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงสมบูรณ์ เพื่อให้ท่านสามารถใช้ชีวิตในบั้นปลายได้อย่างมีความสุขมากที่สุดนั่นเอง
Add Comment